โบท็อกซ์ หรือ Botulinum toxin (โบทูลินั่มท็อกซิน) เป็นชื่อเรียกสารสกัดที่ใช้ในการฉีดเพื่อลดเลือนริ้วรอย และบริเวณที่เหี่ยวย่นหรือหย่อนคล้อยตามที่ต้องการ เช่น หางตา หน้าผาก ระหว่างคิ้ว ลำคอ น่อง กราม เป็นต้น ตลอดจนกระชับรูขุมขนและใบหน้าให้เต่งตึงอย่างเป็นธรรมชาติสามารถเห็นผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจภายใน 7 วัน และด้วยคุณสมบัติเด่นของ โบท็อกซ์ หรือ Botulinum toxin (โบทูลินั่มท็อกซิน)นี้เอง ทำให้ในปัจจุบันการฉีด โบท็อกซ์ จึงได้รับความนิยมเป็นอย่างมากโดยเฉพาะในผู้ชายที่ต้องการเสริมหล่อเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับตนเองมากขึ้น
แม้ว่าการที่ผู้ชายสนใจและหันมานิยมฉีดโบท็อกซ์ จะไม่ใช่เรื่องใหม่นัก แต่สิ่งที่ทำให้ผู้ชายนิยมฉีด Botulinum toxin (โบทูลินั่มท็อกซิน) หรือ โบท็อกซ์ นั่นเป็นเพราะความไม่ยุ่งยากซับซ้อนของการฉีด ไม่ต้องเจ็บตัว ไม่ต้องใช้เวลาในการพักฟื้นและไม่ต้องเสียเวลาในการมาฉีดบ่อยครั้ง เพราะการฉีดครั้งหนึ่ง หากหนุ่ม ๆ ดูแลผิวหน้าหลังฉีดได้ดี รูปหน้าที่เสริมหล่อมาจะสามารถอยู่ได้นานขั้นต่ำถึง 6 เดือนเลยทีเดียว
สำหรับจุดที่หนุ่ม ๆ นิยมเสริมหล่อด้วยการฉีด Botulinum toxin (โบทูลินั่มท็อกซิน) หรือ โบท็อกซ์ นั้น จะมีอยู่ด้วยกัน 5 จุดหลัก คือ หน้าผาก ระหว่างคิ้ว ใต้ตา หางตาและกราม โดยทั้ง 5 จุดจะเป็นจุดที่หนุ่ม ๆ มักจะมีรอยเหี่ยวย่นได้ง่าย ทำให้บางคนดูแก่กว่าวัย ส่งผลให้ขาดความมั่นใจในตัวเองไปได้ ซึ่งสาเหตุของการเหี่ยวย่นนั้นมีได้หลายประการ เช่น เป็นไปตามช่วงวัย การทำงานที่เคร่งเครียดทำให้ต้องขมวดคิ้วบ่อยครั้ง การรับประทานอาหาร การเสื่อมโทรมของเซลล์ผิว นอนไม่เพียงพอ เป็นต้น ซึ่งการฉีดโบท็อกซ์จะทำให้ปัญหาเหล่านี้หมดไปได้ แต่หนุ่ม ๆ จะต้องสังเกตเอกสารกำกับยาที่ได้รับมาตรฐานการรับรองจาก อย. เลข Lot การผลิตที่ตรงกันบริเวณบนกล่องและบนขวด (ตรงกัน) ฯลฯ เพื่อให้มั่นใจว่าเป็นโบท็อกซ์ของแท้และไม่เป็นอันตราย
การเสริมหล่อก็เป็นเหมือนการเสริมบุคลิกภาพให้หนุ่ม ๆ วิธีหนึ่งเช่นกัน โดยปัจจุบันมีคลินิกที่ให้บริการทางด้านนี้ให้คุณได้เลือกเยอะขึ้น แต่ก่อนที่จะไปฉีดนั้นคุณควรมีการศึกษาถึงแพทย์ผู้เชี่ยวชาญขชองแต่ละคลินิกและควรมีการเตรียมตัวให้พร้อมด้วย เช่น งดทานยาแก้อักเสบหรือแอสไพรินก่อนวันนัดฉีดโบท็อกซ์ 7 วัน, งดทานอาหารที่มีวิตามินอี และควรตรวจร่างกายให้พร้อมว่ามีโรคประจำตัวหรือไม่ เพื่อแจ้งปรึกษาแพทย์ก่อน เป็นต้น เพื่อให้คุณได้หล่ออย่างมั่นใจและปลอดภัยนั่นเอง
ที่มาข้อมูล :